green and brown plant on water

วิปัสสนาเต็มภูมิ

เวลาอ่าน : 3 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”  

วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม 2566

ตอน วิปัสสนาเต็มภูมิ

 โดย อาจารย์ คณานันท์  ทวีโภค

 

กำหนดจิตของเรานอบน้อมในคุณแห่งพระรัตนตรัย จับลมหายใจ จินตภาพให้เห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหมละเอียด พลิ้วผ่านเข้าออกภายในกายของเรา ลมหายใจละเอียด อารมณ์จิตมีความเบาสบาย ผ่องใส ทรงอารมณ์ที่มีความเบาสบายนั้น จิตกำหนดสติ รู้ในลมหายใจ ผ่อนคลายปล่อยวางร่างกาย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน ปล่อยวางเรื่องราวทุกอย่าง ความวิตกกังวลทั้งปวง ความคิดปรุงแต่งทั้งปวง ปล่อยวางออกไปจากความคิด จากจิตใจของเราให้หมด ความรู้สึกทางกายที่เกาะอยู่กับร่างกาย อยู่กับเวทนา ปล่อยวางความรู้สึกทางกายทั้งหมดออกไป แยกกายเพื่อเข้าถึงจิต อยู่กับจิตที่สงบนิ่งผ่องใส เห็นจิต จินตภาพจิตเป็นเพชร มีแสงสว่างเปล่งประกายออกมา กำหนดจดจ่อทรงอารมณ์อยู่กับภาพนิมิตของจิต ที่เป็นเพชรประกายพรึก เป็นเพชรประภัสสร อารมณ์ใจเอิบอิ่มปิติสุข ความสงบสุขความผ่องใสของจิต ที่ปรากฏขึ้นในขณะนี้ ให้เราพิจารณากำหนดรู้ ติดตามดู ความสงบ ความผ่องใส จิตที่เข้าถึงอุเบกขารมณ์ จิตที่เข้าถึงสภาวะแห่งกสิณจิต เห็นจิตเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง ทรงอารมณ์ปฏิภาคนิมิต ฌาน 4 ในกสิณจิต ทรงอารมณ์ ทรงสภาวะที่จิตเป็นเพชรประภัสสรไว้

เมื่อจิตทรงสภาวะในความเป็นประภัสสรแล้ว กำหนดเคลื่อนดวงจิตที่ปรากฏเป็นนิมิต ไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย เพื่อความชำนาญในการฝึกกสิณ จิตมีจิตตานุภาพอยู่เหนือดวงกสิณ กำหนดให้จิตที่เป็นเพชรประกายพรึก ภาพของเพชรประกายพรึกอยู่บนศีรษะ กลางกระหม่อมจอมขวัญของเรา แสงสว่างเส้นรัศมีแห่งแสงของจิต สว่างรุ่งโรจน์ออกไปแผ่ปกคลุมคุ้มครองอาณาบริเวณที่เราฝึกสมาธิ กระแสแสงสว่างแผ่รัศมี คลุมลงมายังกายเนื้อของเรา เคลื่อนดวงจิตที่เป็นเพชรประกายพรึกลงมาภายใน ภายในสมองศีรษะของเรากึ่งกลางพอดีด้านหน้าระหว่างคิ้วแทงทะลุเข้าไปหลังท้ายทอย ด้านข้างอยู่บริเวณเหนือใบหูเล็กน้อย ทะลุหูซ้าย บนหูซ้ายทะลุบนหูขวา กำหนดเห็นลูกแก้วอยู่ตรงกลางแทงกั๊กพอดี ทรงอารมณ์จิตเห็นลูกแก้วสว่าง แผ่รัศมีสว่าง แผ่คลุมทั่วสมองทั้งหมด กึ่งกลางของเราเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง ทรงอารมณ์ ทรงสภาวะ เห็นภายในศีรษะ สมองเป็นเพชรสว่าง ความเป็นทิพย์ กำลังแห่งจิตตานุภาพ แผ่สว่างเป็นหนึ่งเดียวกับนิมิตแห่งกสิณจิต ความเป็นทิพย์ ความผ่องใส

จากนั้นคือเคลื่อนดวงจิตที่เป็นเพชรประกายพรึกผ่านลงไป อยู่บริเวณคอหอย ภายในลำคอของเรา ดวงจิตสว่างเป็นเพชรประกายพรึก ดวงกสิณจิตค่อยๆเคลื่อนผ่านลงมา จากบริเวณคอหอยลงมาสู่บริเวณกึ่งกลางหน้าอก บริเวณหัวใจของเรา รัศมีของดวงจิตสว่าง แผ่กระจายออกไปพร้อมกับอารมณ์ความรู้สึกแห่งเมตตา แผ่เมตตาอันไม่มีประมาณออกไปจากดวงจิต ที่เป็นปฏิภาคนิมิตนี้ กระแสของความสุข ความเมตตา ความรัก ความปรารถนาดี กระแสแห่งบุญกุศล ปิติสุข ความเอิบอิ่ม ความแช่มชื่น แสงสว่างแห่งความสุขอันไม่มีประมาณ แสงสว่างแห่งเมตตาอันไม่มีประมาณ แผ่กระจายสว่าง ก่อเกิดเป็นพลังงานนับอนันต์ มีแต่ความสงบ ความสุข ความร่มเย็น กระแสจิต กระแสเมตตา แผ่ออกไปจากจิตของเราเต็มกำลัง ทั้งกายเนื้อและจิตเราเปล่งประกายความสว่าง เปล่งประกายความสุข เปล่งประกายความเมตตาออกไป ความรู้สึกภายในจิตของเรา รู้สึกเปี่ยมพลัง พลังงานแห่งความเมตตา กระแสแห่งพรหมวิหาร 4 ความเอิบอิ่มปิติสุข เต็มล้นในจิตในใจของเรา พลังแห่งเมตตาเป็นแรงผลักดันชีวิตของเรา เป็นแรงผลักดันจิตตานุภาพของเรา ให้เปี่ยมพลังขึ้น ให้มีพลังในการขับเคลื่อนจิต ให้ก้าวหน้าในธรรมจนเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน พรหมวิหาร 4 เป็นพื้นฐานสำคัญในการปฏิบัติธรรมทั้งหมด กระแสที่เราแผ่ออก ความเมตตาที่ปรากฏ ปรับเปลี่ยนดวงจิตของเราจากโกรธ จากโมโห จากเร่าร้อน กลายเป็นเมตตา สงบเย็น อภัย ปรารถนาดี เปี่ยมไปด้วยความรัก ทรงอารมณ์จิตไว้ แผ่เมตตาออกไปอย่างไม่มีประมาณ… ความรู้สึกเปี่ยมอยู่ในจิตใจของเรา ความเมตตาเปลี่ยนจิตของเรา ไปไหนมีแต่คนรัก มีแต่คนเมตตา กระแสเมตตาเปลี่ยนดวงจิตจากโกรธ จากเครียดแค้น จากโมโห จากพยาบาท จากเร่าร้อน เป็นเมตตาสงบเย็น ให้อภัยได้โดยง่าย ความสุขสงบสันติก่อเกิดในจิต ไปที่ใดก็ก่อเกิดความร่มเย็นเป็นสุข ยิ่งมีผู้เข้าถึงสภาวะจิตนี้มากเท่าไหร่ในทุกประเทศ ทั่วโลกย่อมปรากฏสันติสุข สันติภาพ ความสุขสงบร่มเย็น

ค่อยๆขยับเคลื่อนกสิณจิตจากบริเวณกึ่งกลางหน้าอกที่แผ่เมตตา เคลื่อนลงอยู่ที่บริเวณฐานที่ตั้งของจิตศูนย์กลางกาย ใต้สะดือลงมาประมาณ 2 นิ้ว 2 องคุลี ฐานเห็นเป็นดวงแก้วดวงจิตอยู่ภายในท้อง ส่องสว่าง ฌานตั้งมั่นมีความสงบ ทรงอารมณ์ในอุเบกขาจิต นิ่งสงบ จดจ่ออยู่กับดวงแก้วกสิณจิตที่เป็นเพชรประกายพรึก อยู่ที่ฐาน หากกำหนดดู เวลาที่เรานั่งขัดสมาธิประสานมือไว้ที่หน้าตัก ดวงแก้วดวงจิตที่เป็นเพชรประกายพรึก ฝ่ามือที่ประสานกันนั้นก็ประคับประคองจิตที่เป็นเพชรประกายพรึก ประสานประคับประคองฌาน ให้ตั้งมั่นในอุเบกขารมณ์ หยุดที่ศูนย์กลางกาย นิ่งหยุดสงบ สว่างผ่องใส ตั้งอารมณ์จิต ตั้งอารมณ์ฌานไว้ เห็นแสงสว่างจากจิตที่ศูนย์กลางกายนั้น สว่างคุมกายเนื้อทั้งหมด แสงสว่าง ความเป็นประกายพรึก อาบกายเนื้อขันธ์ 5 ทั่วร่างกายของเรา ปรับผลึก เซลล์ทุกเซลล์ อวัยวะทุกส่วน ให้สว่างขาวใสเป็นแก้ว เป็นผลึก กายเนื้อของเราปรับเปลี่ยนผลึก เซลล์ทุกเซลล์กลายเป็นธาตุกายสิทธิ์ ในยามที่ธาตุทั้งหลายถูกกระแสจิต กระทบอยู่ในกำลังแห่งกสิณในปฏิภาคนิมิต ทุกสิ่งที่หยิบจับสัมผัสกำหนดจิต เห็นเป็นเพชรประกายพรึก สิ่งที่กลายเป็นเพชรประกายพรึกในจิต กลายเป็นธาตุกายสิทธิ์ จากการที่จิตส่งกำลังแห่งจิตตานุภาพ ปลุกอนุภาค จากของหยาบให้เป็นของละเอียด จากของทึบ ของหยาบ กายเป็นพลังงาน เป็นแสงสว่าง เป็นเพชรประกายพรึก ยิ่งผ่านจากดวงจิตอันเปี่ยมไปด้วยเมตตา จิตอันมีความบริสุทธิ์ปรารถนาในพระนิพพาน จิตอันมีกำลังตบะแห่งฌานที่ตั้งมั่น ทุกสิ่งที่หยิบจับ ทุกสิ่งที่กำหนดนึก ทุกสิ่งที่ศูนย์กำลังแห่งความเป็นเพชรประกายพรึก คือส่งคลื่นแห่งกระแสจิตเข้าไปจนปรากฏเห็นวัตถุธาตุสิ่งนั้นก็ดี นามธรรมสิ่งนั้นก็ดี กลายเป็นเพชรประกายพรึก วัตถุธาตุสิ่งนั้น นามธรรมนั้นก็กลายเป็นธาตุกายสิทธิ์

กำหนดจิตแผ่แสงสว่างความเป็นประกายพรึกไปทั่วร่างกาย ทั่วเซลล์ทุกเซลล์ เห็นอวัยวะทุกส่วนใสสว่าง อวัยวะทุกส่วนกลายเป็นเพชรประกายพรึก เห็นกายในกาย เห็นกายในกายหยาบ เห็นกายในขันธ์ 5 เห็นกายเป็นโครงกระดูก โครงกระดูกเปลี่ยนเป็นเพชรสว่าง เห็นเส้นเอ็นที่ร้อยเชื่อมกับโครงกระดูกทั้งร่างไปยังอวัยวะทุกส่วนทั่วร่างกาย แขนขา เห็นหลอดเลือดที่สานหล่อเลี้ยงไปทั่วร่างกาย อวัยวะภายในทุกส่วน เห็นเป็นแก้วเป็นแสงสว่าง เห็นกล้ามเนื้อชั้นไขมันและผิวหนังที่ห่อหุ้มเป็นแก้วสว่าง เห็นอวัยวะภายในตับ ไต ไส้ พุง ปอด ม้าม ถุงน้ำดี หัวใจ ตับ ไต  กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ผู้หญิงก็มดลูก ผู้ชายก็อัณฑะ เห็นอวัยวะทุกส่วนกลายเป็นแก้วใสสว่าง กำหนดรู้ในจิต เห็นกายในกาย เห็นอวัยวะทุกส่วนอาการทั้ง 32 กำหนดรู้ในอาการ 32 จิตที่เป็นเพชรประกายพรึกตั้งมั่นอยู่ที่ฐานคือใต้สะดือ 2 นิ้ว รัศมีกำลังแห่งความเป็นประกายพรึก ส่งพลังไปถึงอวัยวะทุกส่วนทั่วร่าง อวัยวะทุกส่วน กระดูก เส้นเอ็น หลอดเลือด เนื้อหนัง ชั้นไขมัน ผิวหนังภายนอก อวัยวะภายในกาย สมอง ปอด  หัวใจ กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ตับ  ไต ไส้พุงทั้งหลาย กลายเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง ชำระล้างธาตุขันธ์กำหนดน้อมนึกเห็นกายในกายนี้อยู่ ไม่เห็นกายที่เป็นกายขันธ์ 5 แต่เห็นกายในกายภายใน กำหนดพิจารณาว่าภายในร่างกายของเรานี้ ก็เป็นเช่นนี้หนอ ขันธ์ 5 นั้นมีเปลือกความสวยงามมาห่อหุ้มให้เราหลงใหลใฝ่ฝัน ไม่ว่าจะเป็นผม ขน เล็บ ฟัน หนัง กรรมฐานทั้ง 5 เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ที่มันลวงใจเราให้หลงยึดติดอยู่กับความสวยงาม หลงยึดติดอยู่กับเปลือกภายนอก เรากำหนดรู้ในร่างกายขันธ์ 5 ของเราเอง สภาพที่แท้จริงก็เป็นเช่นนี้

ทรงอารมณ์รู้กาย รู้เท่าทันกาย พิจารณากาย ว่าในที่สุดร่างกายนี้ก็ต้องถึงแก่ความตาย ร่างกายนี้มีความเสื่อม มีความแก่ มีความเจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบาย แล้วก็มีการสลายตัวคือตายไปในที่สุด อาการตายที่เกิดขึ้นนั้น ก็คือการที่ธาตุทั้ง 4 ไม่อาจรวมตัวกันเป็นร่างกายขันธ์ 5 ได้อีกต่อไป วิญญาณธาตุ จิตอทิสมานกายออกไปจากร่างกายขันธ์ 5 ขันธ์ 5 แตกสลาย ธาตุน้ำแยกออกไป ธาตุลมดับลง ร่างกายเน่าเปื่อย มีน้ำเหลืองน้ำหนอง ร่างกายบวมอืดบวมเป่งขึ้นอืด จนกระทั่งผิวหนังแตกออก น้ำเหลืองทะลักออก จากผิวทั่วร่างกาย ผิวที่เคยเปล่งปลั่งก็กลับกลายมาเป็น มีความคล้ำเข้มเป็นสีน้ำตาลเข้ม เป็นสีดำ น้ำเหลืองไหลรินออกจากทั่วร่างกาย จากทวารทั้งปวง มือกาง ตีนกาง จากนั้นความเน่าเปื่อยเริ่มเข้ามาสู่ขันธ์ 5 หนอนชอนไชทั่วร่างกาย ร่างกายเน่าเปื่อยผุพังไปจนหมด จนเหลือแต่โครงกระดูก  โครงกระดูกค่อยๆแห้งลง จากคราบของเลือดเนื้อที่เกรอะกรังอยู่เป็นสีดำคล้ำ ก็ค่อยๆหลุดร่อนออกจนเหลือแต่โครงกระดูกสีขาว ธาตุน้ำออกไปจากธาตุดิน ลมหายใจดับลงก็คือ ธาตุลมมันดับ ธาตุลมดับไม่นาน ธาตุไฟคือความร้อน ความอบอุ่นในร่างกายก็ดับ เหลือแต่ความเย็นชืด ธาตุน้ำแยกออกจากธาตุดิน น้ำเหลือง น้ำหนองไหลทะลักร่างกายบวมอืด เน่าเปื่อยจนกระทั่งผุพัง ระเหยกลายเป็นธาตุดิน คือโครงกระดูกพร้อมกับคราบเกรอะกรัง โครงกระดูกก็ค่อยๆผุกร่อนไปทีละน้อย สายลมแห่งกาลเวลาพัดพาให้กระดูกผุพังผุกร่อนไป เป็นผุยผงไป จนในที่สุดก็ไม่เหลือสิ่งใด กลายเป็นเพียงธุลี ขันธ์ 5 ร่างกายก็กลับคืนลงสู่ดิน คืนสู่แม่พระธรณีไปในที่สุด ร่างกายสลายหายไปจนหมด กลายเป็นความว่าง กลายเป็นธาตุทั้ง 4 กำหนดพิจารณาเพื่อให้จิตเรา ปล่อยวางจากความเกาะ ความห่วง ความยึดในขันธ์ 5 ร่างกาย เห็นในความเป็นธรรมดา หากร่างกายขันธ์ 5 นี้ ถึงแก่การ คือถึงแก่ความตาย การสลายตัวก็ปรากฏขึ้น อาการเน่าเปื่อยผุพังก็ปรากฏขึ้น ตามที่ได้พิจารณาเห็นในจิตเช่นนั้น จิตเราปล่อยวางจากความเกาะ จากความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5

จิตเรากำหนดอยู่ในความสงบ ผ่องใส เมื่อตัดร่างกายขันธ์ 5 แล้ว พิจารณาในความเป็นอสุภะ พิจารณาในอาการ 32 พิจารณาในการแตกดับของธาตุทั้ง 4 พิจารณาในมรณานุสติ ทั้งหมดที่พิจารณานี้ นับว่าเป็นการเจริญวิปัสสนาญาณ เราพิจารณาโดยเต็มพร้อมเต็มภูมิ ไม่ว่าจะเป็นในแง่มุมของมรณานุสติ อริยสัจ 4 คือความไม่เที่ยง การเกิด แก่ เจ็บ ตาย พิจารณาในความเป็นธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่สลายตัวไปในที่สุด พิจารณาในอสุภสัญญา หรืออสุภกรรมฐาน พิจารณาในอาการ 32 ประการ พิจารณาในกรรมฐานทั้ง 5 คือผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ รวมความว่าการเจริญจิตวิปัสสนาในกาย สามารถเจริญได้หลายรูปแบบ เราพิจารณาควบไล่เรียงลำดับ ย้อนทวน ทวนกลับ เพื่อให้จิตนั้น เข้าใจ เข้าถึงสภาวะที่แท้จริงของขันธ์ 5 ร่างกาย จนกระทั่งจิตของเราไม่ยึดเกาะกับขันธ์ 5 ร่างกายอีกต่อไป

จิตเราในขณะนี้ให้ลองถามจิตตอบจิตดู เรายอมรับตามความเป็นจริงตามที่พิจารณาไปเมื่อสักครู่ทั้งหมดไหม จิตปล่อยวาง จิตยอมรับความเป็นจริง ว่าสิ่งที่พิจารณาเป็นไปตามนั้นไหม หากเราตายจากร่างกายนี้แล้ว ร่างกายเราจะคงสภาวะเหมือนเดิมทุกอย่างไหม พิจารณาจนกระทั่งยอมรับว่า จะเป็นเราเองคือกายเนื้อของเรานี่เอง กายของบุคคลอื่น กายของบุคคลที่มีบุญที่สุด กายของเศรษฐีมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุด กายของยาจกเข็ญใจ กายของเศรษฐี กายของผู้มีตระกูลสูง กายของผู้ที่มีสกุลต่ำ ล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้กฎแห่งความเป็นจริงในร่างกายขันธ์ 5 ทั้งหมดนี้ ไม่แตกต่างกัน พิจารณาว่าในเมื่อมันเป็นธรรมดาเป็นธรรมชาติ เราจะไปทุกข์ เราจะไปวุ่นวาย เราจะไปร้องห่มร้องไห้เสียใจกับร่างกายนี้ไปเพื่ออะไร ในเมื่อทุกอย่างก็เป็นธรรมดา จิตยอมรับในความเป็นธรรมดาของขันธ์ 5 เราทุกคนต้องแก่ เราทุกคนต้องเจ็บไข้ได้ป่วย เราทุกคนต้องตายไปในที่สุด จิตยอมรับตามธรรมชาติ แต่ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราก็ตั้งกำลังใจในการสร้างกุศล สร้างความดี เป็นทานก็ดี เป็นศีลก็ดี เป็นการเจริญพรหมวิหาร 4 ก็ดี หรือแม้กระทั่งเป็นการปฏิบัติเจริญวิปัสสนา พิจารณาในธรรม พิจารณาในองค์ฌาน พิจารณาในการตัดสังโยชน์ พิจารณาในการตัดภพภูมิ กำหนดจิตของเรา พิจารณาว่าตายแล้ว เราจะไปไหน ตายแล้วเรายังมีความอาลัยในโลกไหม ตายแล้วเราจะปล่อยวางได้ไหม ในทุกเรื่องทุกสิ่ง ในวินาทีนี้ ในขณะจิตนี้ หากเราตายไปในขณะนี้ เรายอมรับตามความเป็นจริงได้ไหม ตายไปในขณะนี้ เราปล่อยวางทุกอย่างได้ไหม ถ้าตายไปในขณะจิตนี้ เรามีคติที่ไปแล้วหรือยัง หลายคนกำหนดจิตน้อมรำลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า ก็ให้เราทุกคนกำหนดจิตตั้งกำลังใจ

กำหนดอธิษฐานให้ดวงแก้วที่อยู่ศูนย์กลางกายนั้น ค่อยๆขยายเปลี่ยนรูปขึ้นมาเป็นอทิสมานกาย เป็นกายทิพย์สว่าง ตัดร่างกายขันธ์ 5 เรียบร้อยแล้ว พุ่งจิต รำลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน พุ่งอทิสมานกายขึ้นไป อยู่เบื้องหน้ากำลังกราบสมเด็จองค์ปฐมบนพระนิพพาน กำหนดพิจารณาเห็นกายพระวิสุทธิเทพของเราชัดเจนสว่าง ตอนนี้เราแต่ละบุคคล ขอให้กำหนดจิตพิจารณา ตัดภพภูมิทั้งปวง พิจารณาด้วยตัวเองนะ ถามจิตตอบจิต ใจเราพึงพอใจอยู่ในภพอื่นภูมิใดไหม หรือจิตเราพึงพอใจอยู่กับพระนิพพาน พิจารณาตัดภพภูมิทั้งปวงตัดห่วงทั้งปวง สิ่งใดที่เป็นความรู้สึกที่เราห่วงใย ที่เรารู้สึกติด จะเป็นลูกก็ดี จะเป็นกิจการงาน จะเป็นธุระก็ดี จะเป็นภาระทั้งหลายก็ดี จะเป็นพ่อเป็นแม่ที่เรายังห่วงยังกังวลถึง กำหนดจิตพิจารณาว่าเมื่อเราจะตาย และตั้งจิตจะไปพระนิพพานแล้ว ความอาลัยยังมีในจิตเราหรือไม่ พิจารณาเองนะของแต่ละบุคคล อารมณ์ใจกำหนดพิจารณา ตัด อทิสมานกายของเราตอนนี้อยู่บนพระนิพพานแล้ว อยู่เบื้องหน้าพระพุทธองค์ เรากำหนดเจริญวิปัสสนาญาณซ้ำ ตอนนี้จะให้ทุกคนพิจารณาของตัวเองนะ พิจารณาทั้งตัดร่างกายขันธ์ 5 ส่วนที่เป็นกายเนื้อกายหยาบ พิจารณาตัดสังโยชน์ทั้ง 10 พิจารณาตัดภพภูมิ และความห่วงความกังวลทั้งปวง กำหนดเห็นเราเองเป็นกายพระวิสุทธิเทพนั่งอยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐม และเจริญวิปัสสนาญาณอยู่บนพระนิพพานด้วยความผ่องใสเต็มกำลัง… พิจารณาเดินจิต เดินปัญญา สอนจิต ถามจิต ตอบจิต ใจของเราสงบ ร่มเย็นในการพิจารณา จิตปราศจากความกลัว จิตปราศจากอาการรังเกียจ จิตปราศจากสภาวะความหนัก…

กำหนดจิตในความผ่องใส จิตยินดีในพระนิพพาน จิตแนบเป็นหนึ่งเดียวอยู่กับพระนิพพาน กระแสกำลังแห่งพุทธคุณ กระแสธรรม มรรคผล กระแสแห่งพระอริยสงฆ์ พระอรหันต์เจ้า ผู้บรรลุโมกขธรรมหลุดพ้นจนถึงที่สุด กระแสแห่งพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ หลั่งไหลลงสู่อทิสมานกาย กายพระวิสุทธิเทพ กายพระวิสุทธิเทพของเราแต่ละคนยิ่งสว่างผ่องใสเป็นเพชร สว่างขึ้น อารมณ์จิตเข้าถึงสภาวะอารมณ์พระกรรมฐาน นิพพานัง ปรมังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง กำหนดพิจารณาในอารมณ์นี้ เข้าถึงความผ่องแผ้วเบิกบานสูงสุดแห่งจิต กำหนดในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพสว่าง ทรงอารมณ์ให้เกิดความผ่องใสที่สุด เอิบอิ่มที่สุดสว่างที่สุด อทิสมานกาย กายทิพย์สว่าง อารมณ์จิตเป็นสุขที่สุด สุขจากการปล่อยวาง สุขจากความสงบสงัดจากสรรพกิเลสทั้งปวง ทรงอารมณ์ไว้… นิพพานัง ปรมังสุขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

ค่อยๆกำหนดจิต กราบลาพระพุทธเจ้า กราบลาครูบาอาจารย์ พระอริยเจ้า น้อมจิตกราบลา ตั้งใจว่าการเจริญจิตสมาธิ เจริญวิปัสสนาญาณ ทรงกำลังจิตในพระกรรมฐาน และกำลังแห่งมโนมยิทธิ ขอน้อมเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา บูชาคุณพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ บูชากระแสแห่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เทพพรหมเทวาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตลอดจนพ่อแม่ทั้งในชาติปัจจุบันและอดีตชาติทุกพระองค์ บูชาคุณเทพพรหมเทวาท่านผู้มีพระคุณที่ปกปักรักษา คุ้มครองช่วยเหลือเกื้อกูลเรา

จากนั้นจึงกำหนดจิต น้อมกระแสแห่งพระนิพพานลงมา ยังทุกภพทุกภูมิ กระแสแห่งกุศล กระแสแห่งความผ่องใส กระแสแห่งความปล่อยวาง ความสะอาดจากความโลภ โกรธ หลงทั้งปวง น้อมกระแสลงมาสู่อรูปพรหม พรหมโลกทั้ง 16 ชั้น สวรรค์ทั้ง 6 ชั้น ภพแห่งรุกขเทวดา ภุมมเทวดา ทั่วโลกทั่วจักรวาล กระแสบุญกุศลส่งผลถึง มนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายที่มีกายเนื้อทั่วโลก ทั่วอนันตจักรวาล กระแสแห่งบุญกุศลแผ่ส่งถึงโอปปาติกะสัมภเวสีทั้งหลาย ทุกดวงจิต กระแสแห่งพระนิพพาน แผ่ส่งถึงเปรต อสุรกายทั้งปวง แผ่ลึกลงไป ยังภพของนรกทุกขุม กระแสแห่งพระนิพพานผ่านลงสู่ทั้งสามภพสามภูมิ จิตของเรากำหนดในเมตตา ความปรารถนาดี ปราศจากอคติ ปราศจากความรู้สึกเลือกที่รักมักที่ชังทั้งปวง มีความเมตตา มีความปรารถนาดี น้อมกระแสแห่งพระนิพพานลงมายังทุกดวงจิต ด้วยอารมณ์ใจ ที่ปรารถนาดีอย่างแท้จริง จิตยิ่งเอิบอิ่มยิ่งปิติสุข จิตเราบริสุทธิ์ เมตตา เมื่อน้อมลงมาสู่โลก น้อมความผ่องใส น้อมกระแสพระนิพพานลงมา ใจของเราผ่องใส ใจของเราบริสุทธิ์ กำหนดขอกระแสบุญ ขอกระแสพระนิพพาน ขอกระแสแห่งบุญกุศล ส่งตรงลงมายังขันธ์ 5 ร่างกายเนื้อของเรา กระแสธรรมชำระล้างฟอกธาตุขันธ์ โรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายสลายตัวไป ความเศร้าหมอง อกุศล  วิบาก บาปเคราะห์ทั้งหลาย สลายตัวไป ความทุกข์ ความกังวล สลายตัวไปจนหมด

จากนั้นน้อมความเป็นสวัสดิมงคล ความสมบูรณ์พูนผล มหาโภคทรัพย์ สายทรัพย์ สายสมบัติ กระแสแห่งพลังชีวิต ความมีสุขภาพดี กระแสแห่งความสุข ความเจริญ หลั่งไหลลงมาสู่ชีวิต สู่กายเนื้อขันธ์ 5 กาย วาจา ใจ มงคลทั้งหลายจงเกิดปรากฏต่อชีวิตของเราแต่ละบุคคล นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปตราบถึงซึ่งพระนิพพาน มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติ นิพพานสมบัติ ขอจงเปิดกระจ่าง ขอจงมีความคล่องตัว อุปสรรคทั้งหลายจงถูกทลาย สลายตัวไปจนหมด สิ่งที่ขัดขวางความสุข สิ่งที่ขัดขวางความเจริญ สิ่งที่ขัดขวางกระแสแห่งความสุข สิ่งที่ขัดขวางความมีสุขภาพดี ถูกทำลายสลายตัวไปจนหมด มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ใจผ่องใส กำหนดจิตสงบนิ่ง หยุด อธิษฐาน เป็นกำลังอธิษฐานหลังกรรมฐาน หลังอารมณ์จิตที่เราเจริญวิปัสสนาญาณ หลังอารมณ์จิตที่เราเข้าถึงพระนิพพาน จิตที่อธิษฐานขณะนี้ มีกำลัง มีความเข้มข้น มีความบริสุทธิ์ อธิษฐานตามแต่วาระ ตามแต่จิตของแต่ละบุคคล ขอทุกแรงอธิษฐานอันเป็นมงคล จงเกิดความสำเร็จสัมฤทธิ์อัศจรรย์ทันใจด้วยเถิด เมื่ออธิษฐานแล้วก็กำหนดทรงอารมณ์จิตให้ผ่องใส รู้สึกถึงจิตสว่าง

อทิสมานกายสว่างเป็นเพชรประกายพรึก ทรงอารมณ์ความผ่องใส ความเป็นทิพย์เต็มกำลัง ทุกอย่างสำเร็จสัมฤทธิ์ ทุกอย่างอันเป็นมงคลก่อเกิด ความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกทางธรรมสำเร็จ ความมีสุขภาพดี ความมีความสุข ความปรากฏความรุ่งเรือง เปิดมหาโภคทรัพย์ปรากฏ ใจมีความเอิบอิ่มปิติ เราทุกคนเป็นมหาอุบาสกอุบาสิกา ผู้ยอยก ผู้คุ้มครอง ผู้ช่วยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ใจเราเกิดความปิติอิ่มใจ

จากนั้นหายใจเข้าลึกๆช้าๆ หายใจเข้าพุทออกโธ ครั้งที่ 2 หายใจเข้าลึกๆธัม หายใจออกโม หายใจเข้าลึกๆช้าๆครั้งที่ 3 สังโฆ ใจเราสบายผ่องใส ขอให้ทุกคนมีความสุข มีความเจริญ ผลแห่งการปฏิบัติธรรม จงปรากฏเป็นผลเชิงประจักษ์เกิดความอัศจรรย์ เกิดอภิญญาสมาบัติ ความศักดิ์สิทธิ์ สัมฤทธิ์ผลในทุกสิ่ง สิ่งใดที่อธิษฐานก็สมความปรารถนา ปาฏิหาริย์ปรากฏเกิดกับชีวิตของเราทุกคน พลิกชีวิตขึ้นสู่ความสุขความเจริญ ปาฏิหาริย์แห่งพระธาตุ พระบรมสารีริกธาตุจงปรากฏ ปาฏิหาริย์แห่งชีวิตจงปรากฏ สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน ให้เราน้อมจิตโมทนาสาธุกับกัลยาณมิตรทุกคนที่ปฏิบัติ ทั้งเจริญพระกรรมฐานด้วยกัน และที่ตามมาฝึกตามมาปฏิบัติมาฟังในภายหลัง ให้ผลบุญอานิสงส์จงปรากฎต่อเรา ต่อบุคคลอันเป็นที่รัก ต่อกัลยาณมิตร ต่อหมู่คณะทั้งหลาย ให้มีความรัก ความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ใจเป็นบุญ ใจเป็นกุศล สำหรับวันนี้ทุกคนก็ตั้งใจปฏิบัติได้ดี น้อมอารมณ์เข้าสู่วิปัสสนาญาณได้ลึก ก็ขอดีใจโมทนากับทุกคน พบกันใหม่สัปดาห์หน้า สำหรับวันนี้สวัสดีและโมทนากับทุกคนครับ

 

 

 

 

ถอดเสียงและเรียบเรียง โดย คุณ Wannapa

You cannot copy content of this page